Tuesday, April 15, 2014

แบ็คแพ็คพม่า 6 วัน Part 5 อินทร์แขวน

---------------------------------------------------------------------------

อินทร์แขวน ( ไจ๊ทิโย) @ไจ๊โท

---------------------------------------------------------------------------

15 เมษา 57 

จากที่เมื่อคืนเอาแต่คิดว่า เหลือเวลาเที่ยวอีกแค่วันเดียว แต่ ต้องไป ชเวดากองและพระธาตุอินทร์แขวนให้ได้ ก็ไฮไลค์มันอยู่ตรงนี้นี่นา เดี๋ยวคนเค้าจะหาว่าเราไปยังไม่ถึงพม่าแน่ะ ! 

ก็มาลุ้นกันเอาตอนลงเครื่อง  

ลงเครื่อง 9 โมงกว่า 
แก้ไขนิดนึงค่ะ นั่ง Asian Wings ค่ะ ไม่ได้นั่ง Air Bagan ขอโทษค่า 
เครื่องบินภายในประเทศแต่ละลำจะเป็นลำเล็ก รุ่นใบพัด เวลาขึ้นไป จะเลือกนั่งตรงไหนก็ได้ค่ะ  


ลงเครื่องมาปุ๊บ ก็จะมีแม่เหล็กดึงดูดพี่ๆแท็กซี่ตามเคยค่ะ 

เราก็เปิดประเด็นแบบลุ้นๆ ถามไปว่า " พี่ ไป Kyaitiyo ( พระธาตุอินทร์แขวน) go and back in one day, how much!??" 

ลุ้น กลัวเค้าบอกว่า impossible TT 

หันไปปรึกษากันงุ้งงิ้งๆ แล้วตอบมาว่า 140,000 จั๊ต ,,,,, เม่าเริงร่าเม่าเริงร่าเม่าเริงร่า

เราหันไปหาพ่อด้วยความดีใจ บอกว่า เค้าไปอินทร์แขวนๆๆๆๆ 

ต่อรองเหลือ 110,000 หรือประมาณ 36xx บาทต่อคัน ( 3 คนต่อ 1 คัน)  ถ้าไปช่วงปกติ น่าจะไม่ถึงราคาแสนนะคะ ลองถามๆดู ช่วงนี้ยังช่วงเทศกาล วันสุดท้ายพอดีค่ะ 

รถที่ได้ก็เป็นแจส คันนึง อีกคันเป็นเก๋ง จริงๆคงใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง กว่าๆ ได้ แต่พวกเราขับไป ราวๆ 4-5 ชั่วโมง  เนื่องจากรถติดสงกรานต์ค่ะ แบบถนน 4 เลน รถเต็มพืดดดด ไม่ขยับเขยื้อนอยู่สักชั่วโมงกว่าๆๆ ลุ้นกันสุดๆ 

พอไปถึง รถก็จะไปจดที่จุดเปลี่ยนรถ พวกเราต้องนั่งรถ 10 แถว (ขอเรียก รถสิบแถวละกัน เพราะพี่ท่านเอาม้านั่งยาว เกือบๆ สิบแถวมาวางเรียงกันไว้หลังรถ 6 ล้อ ทุกคนต้องเปลี่ยนรถที่นี่ค่ะ คนละ 2500 จั๊ต ใช้เวลานั่งขึ้นอินทร์แขวนสัก 20-30 นาทีได้ รถเป็นแบบ open air ค่ะ เส้นทางนี่โค้งซ้ายโค้งขวา ทางชัน ทางลาด เหมือนอยู่ดรีมเวิลเลยค่ะ มันส์มาก อิอิ


ถ่ายรูปจำป้ายทะเบียนรถเอาไว้ค่ะ เดี๋ยวจะได้กลับมาหารถได้ถูก แต่เอาจริงๆ คนขับรถเค้าก็จะทำหน้าที่ได้ดีมากค่ะ ตามหาเราเอง อิอิ


คันไหนเต็มออกก่อนเลยค่ะ 

เนื่องจากคนเล่นสาดน้ำกันมากๆ พวกเรากลัว เสื้อผ้าเปียก ผมเปียก แว่นตาเปียก และที่สำคัญ กล้อง มือถือ ไอแพด ไอโฟนค่ะ เลยต้องเป็นเทเลทับบี้กันแบบนี้ 
นั่งแถวหลังสุดเลย เวลารถเหวี่ยงเข้าโค้งนี่มันส์มาก อมยิ้ม15

พอมาถึง ก็จะได้เดินขึ้นไปชมพระธาตุค่ะ ระหว่างทาง ก็จะมีเจ้าหน้าที่ดักนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่คนพม่า ให้เข้าไปจ่ายค่า Entrance Fee ค่ะ คนละ 6000 จั๊ต แล้วก็จะได้ป้ายมาคล้องคอค่ะ ส่วนป้าสายของเรา เดินดุ่มๆๆ คนเดียว กลืนไปกับชาวพม่าแล้ว ไปเจอกันที่ด้านบนพระธาตุแกไม่ทราบค่ะว่าต้องจ่าย แกก็เดินๆๆๆ ของแกผ่านมาเลย ฮ่า ๆๆๆๆ 

อีกวิธีหนึ่ง สำหรับคนขี้เกียจเดิน หรือ มีปัญหาเรื่องหัวเข่า ก็จะมีเสลี่ยงให้นั่ง มีคนหาม 4 คน หน้าสองหลังสอง ลำละ 12,000 คุณป้าไฮโซของเราจัดเลยค่ะ แต่.... คือมันใกล้นิดเดียว เดินยังไม่รู้สึกเหนื่อยเลยค่ะ แต่มันก็คงชันนิดหน่อย สำหรับคนไม่ค่อยออกกำลังกายอาจจะมีหอบนิดหนึ่ง 

เดินมาสักพัก ก็จะเจอห้องห้องหนึ่งอยู่ทางซ้ายมือ มีรูปปั้นให้สักการะ  ท่านคือ พระนางชเวนันจิน 

กิตติศัพท์ของท่านคือ หากใครที่ปวด หรือ มีอาการเจ็บตรงจุดใหนในร่างก็ ก็ให้อธิษฐานขอพรให้หายแล้วให้ไปแตะๆ บีบๆ ที่เดียวกับที่เราเจ็บ ที่พระน่งชเวนันจิน แล้วจะหายเจ็บหายปวด เป็นความเชื่อของชาวพม่าค่ะ
.... จัดเหมือนกันค่ะ ชอบปวดเอว และ เวลาวิ่ง จะเจ็บหัวเข่า ก็เข้าทางเลยค่ะ ><

เดินกันต่อไป ก็จะเจอพ่อค้าแม่ค้ามาขายของตามข้างทาง ขางทางวิวสวยมากเลยค่ะ อากาศดี คนเดินขึ้นไปสักการะพระธาตุแน่นขนัดมาก ส่วนใหญ่จะตั้งใจขึ้นไปนอนที่นั่นค่ะ อาจจะมีสวดมนต์ ปฏิบัติธรรมบ้าง ระหว่างทางจะเจอเกสเฮาส์ด้วยค่ะ บรรยากาศดีมาก อยู่บนเขาแบบนี้ กรุ๊ปทัวร์คนไทยมักจะพามาพักที่นี่ค่ะ แล้วตอนเช้าจะได้เห็นแสงแรกต้องกับพระธาตุ คงสวยงามมากๆ แต่มนุษย์พ่อค้า ที่ยังมีห่วงคือร้านและรีสอร์ทของเรา ยังไงก็ชิลมากไม่ได้ ฮิฮิฮิ 


ระหว่างที่กำลังเดินขึ้นพระธาตุค่ะ กำลังจะเปิดกล้อง กล้องพัง เปิดไม่ได้ น้ำก็ไม่ได้เข้านะคะ เป็นอะไรที่เซงจุงเบยย ต้องใช้ถ่ายพระธาตุอินทร์แขวนและชเวดากองด้วยน้าาาาาาาาาาาาาา

อ่อ ชเวดากอง เราตกลงกับคนขับว่า ถ้าขากลับกลับทัน ก็ให้แวะชเวดากองด้วย (ปิด 4 ทุ่ม) คนขับทั้งสองคนใจดีมาค่ะ (เหมือน นานๆ จะมาอินทร์แขวนที ขับพาหลงครั้งนึงขามา)  แต่ดูแล้ว คงกลับไปไม่ทัน น่าจะต้องเป็นวันพรุ่งนี้ ก่อนขึ้นเครื่อง ..................... ลุ้น ระทึกต่อสุดท้าย 

ไฮไลค์ของทริป มันมักจะมีลุ้นตลอด ฮ่า ๆๆๆๆๆ

เมื่อกล้องใหญ่เสีย เรายังมีก๊อกสอง กล้องเล็กโอลิมปัสที่คุณภาพสู้แคนนอนตัวนั้นไม่ได้เลย มีดีอยู่ที่ wide lens ค่ะ เลนส์กว้างมากกกก selfie สบายๆ อิอิ


มองเห็นไกลๆ แล้วค่ะ พระธาตุอินทร์แขวนของจริง 
ปล. จากนี้ไป ภาพอาจจะสีตุ่นๆ ทึมๆ ดำๆ เหมือนสถาวะจิตใจเจ้าของกล้องที่กล้องมาพังเอาตอนจะถึงพระธาตุนะคะ ยิ่งถ่ายไม่เก่งอยู่แล้ว ขอประทานอภัยค่ะ ร้องไห้ร้องไห้ร้องไห้


บริเวณลานพระธาตุ ก็จะมีพุทธศาสนิกชน ชาวพม่า มาจัดที่นงที่นอนเตรียมสำหรับคืนนี้ค่ะ  บรรยากาศดีไม่น้อยเลยนะคะ




สักใบ สำหรับ เจดีย์ไจ๊ทิโย ( ภาษาพม่า แปลว่า หินรูปหัวฤาษี) 


ขากลับลงมาใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงได้ค่ะ รถเวลาสวนกันต้องชะลอๆ มากๆ เพราะทางแคบมาก 


กลับมาถึงที่พัก ดึกและเพลียสุดๆ ค่ะ พี่คนขับรถมีการขับรถหลงทางอีกรอบ ออกไปไกลเลย ทั้งๆที่เราแย้งแล้ว บอกว่า มันต้องไปอีกทางไม่ใช่เหรอ เพราะนั่งหน้า จำทางได้ค่ะ เอาจริงๆ ขับไปหลายสิบกิโล เค้าก็วกกลับ เพราะเขาขับตามอีกคัน YY หนูบอกแว้ววววไง

เข้าที่พัก แล้วออกไปหาไรกินมื้อดึกเหมือนเดิม ตอนนั้น 4-5 ทุ่มแล้วเห็นจะได้ สรุปเจดีย์ ชเวดากอง ยังไม่ได้ดูนะคะ
ลุ้นกันต่อพรุ่งนี้ละกัน 

รูปที่พัก Agga Youth Hotel ซึ่งเป็นเครือเดียวกันกับ คืนแรกที่เรานอน คือ Agga Guesthouse ต่างกันยังไง ??!!
ที่นี่จะดูดีกว่าค่ะ มีลิฟท์ เป็นห้องส่วนตัวมีห้องน้ำในตัว และแพงกว่าค่ะ  ส่วนห้องที่เป็นดอม ห้องน้ำรวม ราคาถูกต้อง  Agga Guesthouse  ค่ะ โอเคใช้ได้สำหรับแวะแค่แปปๆ 

ถามว่าเอารูปที่นอนมาถ่ายให้ดู ถามว่าอายมั้ย ... จะกี่รีวิวก็จะเห็นที่นอนแบบนี้ค่ะ ชอบลืมถ่ายตอนเข้าไปครั้งแรก พ่อจะถ่ายตอนที่ทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เราจะจากห้องนี้ไปแล้วน้า ก็จะถ่ายไว้เป็นที่ระทึกค่ะ อีกอย่าง ก็จะได้เอามารีวิวเพื่อนๆงาย ว่าห้องที่นอนเป็นไงมั่ง เอาเป็นว่า ใช้ได้ทุกที่ที่จองมาเลยค่ะ ตลอดทริปนี้ 

แต่พรุ่งนี้กลับไทยแล้วน้าา เครื่องออก 8 โมงเช้าเลย เม่าตกใจเม่าตกใจเม่าตกใจ
จะทันไปดูเจดีย์ชเวดากองหรือป่าวเนี่ยยยยยย 

คลิปเจดีย์ไจ๊ทิโย




16 เมษายน 2557

วันนี้ขึ้นเครื่องกลับไทย 8 โมงเช้า แต่ทว่า เจดีย์ชเวดากองยังบ่ได้เบิ่งเล้ย ลุ้นตื่นเช้ากัน 

วันนี้เช็คเอาท์ออกจากโรงแรม นัดหมายกับแท็กซี่ไว้ตั้งแต่เมื่อวานพร้อมจ่ายเงินก่อน ขอแท็กซี่ไปส่งไปชเวดากอง(ผ่านอยู่แล้วถ้าจะไปสนามบิน) แล้วไปส่งสนามบิน ราคาเหมา1 คัน 12,000 จั๊ตค่ะ 

Shwedagon เปิด 04:00- 22:00 น. ค่ะ แล้วพวกเราก็ไปถึงชเวดากองแบบเช้ามืดดดดดดดด 

รถไปจอดยังลานจอดรถ ประตูทางเข้า มี 4 ประตู 4 ทิศ จำไม่ได้ว่า ขึ้นประตูไหนค่ะ เดินเข้าไปแล้วต้องไปขี้นลิฟท์ หรือหากใครมีเวลาเยอะๆไม่รีบ สามารถเดินขึ้นทางบันได พร้อมกับดูจิตรกรรม ฝาหนังบ้าง เพดานบ้างไปด้วยก็ดีค่ะ ที่แน่ๆ อย่าลืมว่าเราจอดรถไว้ประตูไหนนะคะ ถ้าลงผิดจะเดินไกลเอามากๆ คุณป้าไฮโซเค้าลองมาแล้วค่ะ ราวกับเดินอ้อมพระราชวัง อิอิ


ถ่ายตอนอยู่ในลิฟท์ค่ะ ขวามือจะเป็นทางเดินขึ้น หากไม่ต้องการขึ้นลิฟต์ ก็เดินตรงนี้ขึ้นไปได้เหมือนกัน


ค่าเข้า คนละ 9 usd หรือจ่ายเป็นเงินไทยก็ได้ค่ะ 350 บาท วันสุดท้ายแล้วค่ะ ไม่มีเงินจั๊ตเหลือแล้ว เลยต้องจ่ายเป็นเงินไทยไป 



ถ่ายรูปไม่สวยอย่าว่ากันน้าาา ขอบคุณโอลิมปัสตัวนี้ที่มีเลนส์wide ฮี่ๆ 


มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า สมัยที่พม่าถูกปกครองโดยอังกฤษ ก็มีข้าหลวงอังกฤษจะมาเยี่ยมชมเจดีย์ชเวดากองแห่งนี้ โดยไม่ยอมถอดรองเท้าและยืนยันว่าจะใส่ขึ้นไป ด้วยอำนาจที่ว่าตนปกครองพม่าอยู่อยากทำอะไรก็ได้ ประมาณนั้น ชาวพม่าหลายหมื่นคนจึงร่วมใจกันมานอนตั้งแต่บันไดทางเดินจนถึงลานพระเจดีย์จนไม่เห็นพื้นเลย หากข้าหลวงอังกฤษจะใส่รองเท้าเดินขึ้นไป ก็ขอให้เหยียบร่างชาวพม่าที่นอนรองรับตรงนั้นซะ ด้วยเหตุถึงความเคร่งครัดในพระพุทธศาสนาเช่นนั้น ชาวอังกฤษจึงยอมถอดรองเท้า 

และศาสนสถานทุกที่ในพม่าทุกที่ ก่อนเข้าไป ควรถอดรองเท้าก่อนทุกครั้งค่ะ ไม่งั้นก็จะโดนชาวพม่าตักเตือนแน่นอน 


จะสังเกตุเห็นว่า พุทธศาสนิกชนชาวพม่ามีการแต่งกายด้วยเสื้อสีขาวแขนกระบอกพาดสไบและนุ่งซิ่น ผู้ชายก็เหมือนกัน จะนุ่งโสล่ง (โลงจี ภาษาพม่า) 

แผนผังภายในชเวดากองค่ะ 

ตรงบริเวณนี้จะเป็นลานจอดรถของประตูที่เราเดินขึ้นไป จะเห็นได้ว่าลานจอดรถกว้างขวาง ประตูอีกทิศก็คงไกลกันมากๆ อย่าลืมหาจุดสังเกตุตอนก่อนจะไปชมเจดีย์ชเวดากองนะคะ จะได้กลับลงไปถูกที่ 

ลิฟต์ที่พาขึ้นไปชมเจดีย์ 
ขึ้นลิฟต์ไม่เสียเงินมั้งคะ จะเดินก็ได้ขึ้นลิฟต์ก็ได้ เค้าจะให้ไปจ่ายค่าตั๋วเข้าชมด้านบนค่ะ 

ทวารบาลเฝ้าประตูลิฟท์ขึ้นไปชมเจดีย์ชเวดากอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


ลาไปด้วยภาพนี้ค่ะ ถ่ายที่สนามบินย่างกุ้ง สวยมาก 

แบ็คแพ็คจีนใต้ ไปไกลถึงแชงกีล่า ตอน 6

มาถึงคุนหมิงตอนเช้า สว่างแล้วค่ะ แต่แอบๆง่วงอยู่ อิอิ พวกเราก็รีบๆ เดินออกไปจากชานชลาแล้ว ก็ออกมานอกอาคารสถานีรถไฟค่ะ โอ้โห คุนหมิง 
มันได้อีกฟีลนึงเลยค่ะ คล้ายๆกับเมืองที่ทุกคนต้องรีบร้อนกันแต่เช้า ผู้คนขวักไขว่ รถราการก่อสร้างเยอะค่ะ 

เรามาแวะร้านหนังสือร้านนึงก่อน เพื่อหาซื้อแผนที่คุนหมิง เป็นผู้นำที่ดีมากค่ะ สำหรับคุนหมิงก็ยังไม่ได้จองโรงแรมแถมข้อมูลยอมรับค่ะยังไม่แน่นพอจริงๆ เพราะมัวแต่ไปเก็บข้อมูลด่านแรกๆ จะมาตายเอาตอนจบมั้ยเนี่ยเรา ได้แผนที่คุนหมิงมาแล้ว แต่... อืม กลับด้าน ไปๆมาๆ อยู่พักนึง ถามคนที่ร้านขายหนังสือด้วย โอเค ข้อมูลที่เราเตรียมมาคือ มาคุนหมิง ต้องไปเหยียบให้ได้ คือ เขาซีซาน(西山)และสวนหิน(Stone forest)
สรุปแพลน ณ เดี่ยวนี้คือ หาโรงแรมย่านใจกลางเมือง แล้วไปเที่ยวเขาซีซาน ส่วนพรุ่งนี้ไปสวนหิน แล้วตอนเย็นนั่งรถไปสิบสองปันนา อมยิ้ม04

ก่อนอื่นหาอะไรทานรองท้องก่อนค่ะ ไม่แน่ใจว่าจะได้ที่พักแบบไหน เมื่อไหร่ ยังไง 

สถานีรถไฟคุนหมิงค่ะ (คุนหมิงจ้าน)


ตัดสินใจหาที่พักที่ใจกลางเมืองค่ะ เพราะมันก็ควรจะเป็นแบบนั้นอยู๋แล้ว แต่เมืองนี้ใหญ่เอาการ ไม่ใช่เล่นๆเหมือนต้าหลี่ ลี่เจียง หรือแชงค่ะ 
เราตัดสินใจนั่งรถเมล์ออกจากสถานีเพื่อเข้าเมือง เบอร์ 2 นั่งไปเรื่อยๆ ชมวิวทิวทัศน์ไป (เลือกไปนั่งชั้น 2ของรถบัสอีกแล้วค่ะ คล้ายๆทัศนศึกษา ก็ว่ากันไป) 

ตรงไหนมันใจกลางเมืองล่ะเนี่ย ถ้าหากซื้อซิมแล้วเปิด กูเกิ้ลแมพก็คงไม่ต้อง ระเห็จระเหิรกันไปแบบนี้นะคะ แต่มันจะไม่มันส์ค่ะ แบบนี้แหล่ะสนุกดี มันต้องมีได้บ้างพลาดบ้าง ถ้าสบายตั้งแต่ต้นและแฮปปี้เอนดิ้งในตอนจบ คงไม่ใช่แบ็คแพ็คเกอร์ล่ะมั้งคะ ปายซื้อทัวร์ดีกว่า เม่าบัลเล่ต์

นั่งรถไป บอกพวกลุงๆว่าถ้าเจอคำนี้ ที่เขียนแบบนี้ 酒店(จิ่วเตี้ยน= โรงแรม) ให้บอกนะ แล้วเดี๋ยวเราลงเลย เอาย่านที่มีคำนี้เยอะๆน้า 

ซักแปปเจอละค่ะ ป้ายต่อไป จัดการลงเลย 

ไม่ง่ายงั้นค่ะ อีกป้ายมันไกลกับไอย่านมะกี๊มาก ไปลงที่ย่านที่โรงบาลเยอะๆซะแล่ว อุ้ยตาย (ใครเรียนอยู่คุนหมิงน่าจะทราบดีค่ะ ว่าย่านโรงบาลอยู่แถวไหน มันอยู่ เยื้องๆไปทาง ตะวันตกเฉียงเหนือของแผนที่ค่ะ ออกนอกเมืองไปแล้ววววว โอ้ววอมยิ้ม20อมยิ้ม07อมยิ้ม07
อมยิ้ม08 
ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงเราก็นั่งสาย 2กลับเข้าเมืองไปเที่ยวได้ล่ะน่า


เดินหาโรงแรมค่า คราวนี้หายากจริงๆ  เพราะเป็นย่านโรง‘บาล พอเจอ ก็แพงเอามากๆเลย เมืองหลวงของหยูนหนานนี่เน๊อะ

โชคดีค่ะ มาเจอคำว่า 住宿 จู้สู้ เดาได้เลยค่ะมันเป็นที่พักแน่นอนแถมถูกกว่าโรงแรมแน่นอน100%(ความคิด ณ ตอนนั้น แต่มันเป็นจริงค่ะ) เป็นครั้งแรกที่เราจะไปพักที่แบบนี้ค่ะ

คำว่า 住宿 จริงๆ คำนี้ยังเรียนไม่ถึง อุอิ พูดด้วยความสัตย์จริงเนี่ยแหล่ะ แต่เดาเอา ว่าจู้ แปลว่า อยู่อาศัย ส่วนคำว่า สู้ตัวนี้ มาจาก 宿舍 สู้เช่อ หอพักนั่นเอง เก่งจริงๆเลยเรา ((ความจริงเปิดเผยเอาวันนี้แหล่ะ พวกพ่อก่ะลุงทั้งหลาย มองเห็นมาดเราเก่งๆอยู่หลายวัน จริงๆมันมั่วนิ่มมาตลอดเลย ฮ่าๆๆๆๆ เอาน่า มั่วๆกานไป ความรู้เท่าหางอึ่ง แต่อึ่งตัวนี้หางยาวนิ๊ดดดนึง อิอิเม่าในกองไฟ)) 

ต่อค่ะ 
เดินเข้าไปถาม ''เหมยหนี่ว ๆ'' มีห้องว่างป่าว เค้าบอกว่า''มี ''         ‘’เท่าไหร่อะ เรามีกัน 6คน อยากได้ 3ห้อง‘’  ((ก็พักดอม อะไรมากันเยอะแยะแล้ว พักส่วนตัวมั่งเน้อ อิอิ)) เค้าบอกว่า ห้อง ละ 68 หยวน  อชิตาลุกวาวก่อนถามย้ำ "หา 68 หยวนเองเหรอ" ก่อนจะหันหน้าไปแปลให้พวกลุงฟัง 
คือ ถูกมากอะ เราก็บอกว่าขอดูห้องหน่อย เค้าพาเดินไปดู ห้องโอเคม้ากๆ เลย 
แต่ภาพที่ถ่ายมา อยากถามพ่อว่าถ่ายอะไรง่ะ 

ได้หัวเตียงมานิดนึง ฮ่าๆๆๆๆ

ปลายเตียงนิดนึง 5555555555555

ห้องนี้มีข้อเสียคือ 
ไม่มีแอร์
ไม่มีส้วม สรุป เป็นห้อง shared bathroom ค่ะ ถึงถูก 

เหมยเวิ่นถี = ไม่มีปัญหาค่ะ สบายมาก  

เราตกลงเอา3 ห้อง 

จากนั้นจ่ายค่ามัดจำห้อง พรุ่งนี้เอาใบไปแลกเงินคือ อ้อลืมบอกค่ะ แต่ละโรงแรมเค้าให้จ่ายมัดจำด้วย จะ ร้อยหยวนสองร้อยหยวนก็ว่ากันไปแต่ละโรงแรมค่ะ อีกวันนึงก็ไปทุ่ยเฉียน(ขอเงินคืนค่ะ) โดยเอาใบมัดจำไปแลก


เข้าโปรแกรมกันได้แล้ว 
อยากไปเขาชีซานจังเลย มีอะไรน่ะหรือคะ เค้าบอกว่ามีประตูมังกรค่ะ ใครมาคุนหมิงแล้วไม่ได้ไปลอดประตูมังกรถือว่ามาไม่ถึงนะคะ 

ก็เดินออกไปหน้าปากซอย หาซื้อสเบียงกังติดตัว แล้วก็ได้โอกาสถามเค้าเลยไปเขาชีซานไปไง ก็คุนพี่ผู้ชายก่ะผู้หญิงเจ้าของร้านใจดีมากค่ะบอกให้เราว่าไปไง แต่สองคนนี้บอกวิธีไม่เหมือนกันค่ะ คนนึงบอกให้นั่งรถเข้าเมืองแล้วหารถต่อไป อีกคนบอกว่าขึ้นรถข้างซอยเนี้ยแหล่ะ ขึ้นรถเบอร์ C65 แล้วไปต่อรถเอาข้างหน้า  เป็นคุณๆ จะทำไงดีคะ คนท้องถิ่นสองคนพูดไม่เหมือนกันแฮะ อมยิ้ม20อมยิ้ม20

ร้านนี้ขายของให้เราถูกมากค่ะ ใจดีด้วย ยิ้มยิ้ม

เราตัดสินใจเดินไปซอยข้างๆ ยังไม่เห็นวี่แววรถว่าจะมา เลยถามคุณยายคนที่กำลังยืนรอรถเมล์ แกบอกว่าใช่ๆนั่ง C65 แล้วไปต่อรถเบอร์ 6 ไปเขาชีซานเลย โอ้ววววววววว พระเจ้า ขอบคุณค่ะที่ส่งยายมา แกใจดีมากแนะนำเราหลายอย่าง บอกว่าระวังเฉี่ยวโทว ด้วย (พวกลักเล็กขโมยน้อย) ค่ะ เก็บกระเป๋าดีดี  แถมบอกคนขับรถด้วยว่าเราอยากไปเขาชีซานแล้วถ้าจะต้องลงรถให้บอกเค้าด้วย คนที่นั่งข้างหน้าได้ยินยายพูดกับคนขับรถ เค้าก็ออกแนวอยากแจมค่ะ เห็นเราเป็นคนต่างชาติ 
คนนี้ค่ะ ใจดีมากๆเลย คุณพี่คนนี้ลงรถพร้อมเรา เค้าบอกทางเราว่าเราควรจะต่อรถอะไรที่ไหนยังไงต่อ แล้วเราได้โอกาสถามเกี่ยวกับ Bus Stationด้วย เพราะจะได้ซื้อตั๋วไปสิบสองปันนา


ต่อรถเบอร์ 6 แล้ว ถึงเขาเลยค่ะ 

มาอีกแล้วนายหน้า เห็นก็รุมเข้าใส่ๆ หยั่งกะจะสัมภาษณ์ดารา แต่ส่วนใหญ่ก็ตามเค้าไปอะนะ

เค้าเข้ามาถามว่าจะไปซีซานใช่ป่าว ไปรถก่ะเค้ามั้ย ค่ารถคนละ 10 หยวน ส่งถึง แถวๆประตูมังกรเลย เราก็ถามว่า ป้า แล้วไอสถานที่ที่ก่อนจะไปถึงเขาซีซานอะ เราก็ไม่ได้เที่ยวน่ะสิ เค้าบอกว่าไม่มีอะไรมากจะเดินมาเที่ยวขากลับก็ยังไง ถ้าขึ้นเมล์เขียวของที่นี่ 15หยวนเลยนา  

เมื่อเห็นว่าถูกกว่าไปตั้ง5หยวนอย่างนี้ มีหรือจะไม่ไป ฮ่าๆๆๆๆๆอมยิ้ม06อมยิ้ม06อมยิ้ม07


นั่งรถขึ้นเขามาไม่นานซัก 10-20 นาทีได้ รถก็มาส่งถึงตรงนี้ค่ะ

เห้ย มันมีที่ซื้อตั๋วตรงนี้ด้วย เริ่ม งง แต่ข้างทางที่นั่งขึ้นมาก็เป็นหมู่บ้าน บ้านคน อะไรแบบนี้นะคะ ส่งใส มาส่งหลังอุทยานป่าวเนี่ย ด้วยความที่คิดจีนเล่ห์เหลี่ยม อุบายเยอะค่ะ อะไรๆเราก็เหมาว่าเค้าไม่ดีหมดไว้ก่อน ฮ่าๆๆๆๆ แต่คนดีก็มีนะคะ ทั้งทริปเจอคนไม่ดีก็เยอะ เจอคนดีก็เยอะ แฟร์แล้วค่ะ

แล้วก็จ่ายค่าตั๋วซื้อบัตรเข้าไป คนละ 42 หยวนค่ะ ไม่แพงเลย   บัตรเข้าที่ไหนที่ต่ำกว่า 100 หยวนนี่ ทำเอาเรารู้สึกว่าจะได้เงินค่ามื้อเย็นเพิ่มขี้นมาเลยค่ะ ฮ่าๆๆ

มาเที่ยวต่อเลย

จุดแรก เข้าไปแล้วจะเจอ เขาหินน้อยค่ะ 
 
เรียงรายกันอยู่ทั่วบริเวณเลยค่ะ


ภาระกิจของเราวันนี้คือ ตามล่าหาประตูมังกรค่า (龙门 หลงเหมิน) เม่าเริงร่าก็เดินไปตามลูกศรเลย


เดินมาเรื่อยๆ ก็จะเจอป้ายบอกทางเป็นระยะๆค่ะ 

ทิวทัศน์ข้างทาง มีพรรณไม้นานาชนิดเลยค่ะที่ขึ้นได้บนที่สูง อย่างพวกสน สังเกตดีดีจะเจอกุหลาบป่าด้วยนะ 


เพื่อยืนยันว่าเรามาอยู่ที่สูงบนยอดเขาจริง ข้างทางก็จะมีวิวเมืองจากมุมสูงติดตามเราไปตลอดทางเดินค่ะ ถ้าต้นไม้ไม่บังเอานะ


มาถึงศาลาที่พักที่นึงแล้วค่ะ เหนื่อยแว้วว ขอพักก่อนซักนิดนึง ไปดูหน่อยว่ามีอะไรน่าชม น่าถ่ายบ้าง

เจอแบบนี้เลยจัดรูปหมู่ไปซักดอกนึงเลยค่ะ ขอบคุณลุงหยัดนะคะ ชอบสละตัวเองไปเป็นตากล้องแล้วตัวเองก็ไม่ค่อยได้ถ่ายอะ ซึ้งน้ำใจจริงๆค่ะ รูปหมู เอ้ย หมู่ สวยๆ ส่วนใหญ่ ฝีมือแกทั้งนั้นค่ะ Big thanks เลย 

พาเดินเที่ยวต่อค่ะ



เป็นวิวทะเลสาบเตียนฉือค่ะ ทะเลสาบใหญ่และสำคัญมากเลยทีเดียว ที่หล่อเลี้ยงชาวคุนหมิงตั้งแต่อดีตจวบจนทุกวันนี้ และยังทำให้คุนหมิงมีอากาศแบบฤดูใบไม้ผลิเกือบตลอดทั้งปีด้วย ว้าวๆๆๆ




เห็นลุงหยัดไปยืนตรงนั้น ทุกคนเลย เล็งเป้าแล้วค่ะ เดี๋ยวตามไป อิอิ

(( เอ เราบรรยาย ละเอียดไปป่าวคะ ถ้ามันเยิ่นเย้อ เกินไป ขออภัยด้วยนะคะ เป็นรีวิวแบ็คแพ็คแรกที่เขียนอ่า นอกนั้นเคยแบ็คแพ็คแล้วเขียนไว้อ่านเองเฉยๆ มันอารมณ์ประมาณนี้เลย แต่ถ้ายังไม่เบื่อก็ติดตามกันต่อน้า ขอบคุณค่า ))


ไปยืนมาแล้ว ถ้าหากใครเป็นโรค อโครโฟเบีย หรือ โรคกลัวความสูงก็อาจจะฉี่เล็ดได้นะ เพราะ ด้านหลัง มันไม่มีฉากอะไรกั้นเลย แล้วมันก็เป็นเหวดีดีนี่เอง 



รูปนี้ ยืนถ่ายบนก้อนหินที่เรายืนอยู่ค่ะ พลาดตกลงไปซี้แหง๋แก๋แน่เลย 



สี่หนุ่มบอยแบนด์ ............ โปรดตั้งชื่อวง และอัลบัมของเค้า ...


ปะๆ เดินๆกันต่อ 

อุ้ยมาเจอคุณยายคนนึงค่ะ เค้าท่าทางน่าสงสารมากเลย ทุกคนก็บอกว่าช่วยซื้อน้ำแกเหอะ ไอเราขอขนมด้วย ที่รู้ว่าเค้าตาบอดเพราะตอนเราถามว่า ขนมนี่กี่บาท แกไม่รู้ค่ะว่าขนมอะไรมันมีเป็นซองๆหลายแบบ เราเลยต้องหยิบขนมใส่มือแกแล้วถามว่าอันนี้กี่บาท แล้วพวกเราก็ตั้งใจจะจ่ายเงินเกินแกนะ แกถามว่าแบงค์ไร พวกเราบอกแบงค์ 5หยวน แกรีบหยิบเงินมาทอนค่ะ พวกยืนกรานนะ บอกว่าไม่เอาๆ เพราะสงสารอ่า ภูเขาก็สูงขนาดนี้กว่าจะเดินจากประตูรั้วขายบัตรเข้ามา(เออ ยายแกเข้ามาได้ไงว้า) แถมยังตาบอดอีก เดินไงอะ แต่แกไม่ยอมให้เราเอาเงินให้นะ สุดยอดมากๆเลยค่ะ เยี่ยมเยี่ยมเยี่ยม



เดินมาเรื่อยๆค่ะ โค้งซ้ายโค้งขวา ลงล่าง จนมาเจอกับ

โอ้ว ใกล้กับประตูมังกรเข้าทุกทีๆแล้ว 

ระหว่างทริปค่ะ คล้ายๆกับเราเป็นผู้ปลุกระดมคนอื่นๆค่ะ อย่างเช่นว่า วันนี้นะ เราจะไปพิชิตเขาหิมะมังกรหยก แค่ชื่อก็กินขาดแล้ว ทุกคนก็ว้าวๆๆ มีอารมณ์ร่วม ตื่นเต้นๆ อย่างวันนี้ วันนี้เราจะไปตามล่าหาประตูมังกรกัน คือไอคนเก็บข้อมูลมันก็รู้อยู่ก่อนแล้วว่ารูปร่างลักษณะมันเป็นไง เหลือแต่ไปสูดเก็บเอาบรรยากาศรอบๆแล้วก็ ไปมองให้มันมาเติมเต็มภาพขาวดำที่มันอยู่ในหัว ไอเราก็ชอบพูดให้มันดูว่าอลังการณ์งานสร้าง งุ้นงี้ ฮ่าๆๆ เดี๋ยวเจอประตูมังกรแล้วทุกคนสตั้นไป 3 วิ โอเค ลอดๆๆ ประตู   อะๆ จับลูกแก้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ แต่มันสนุกตรงที่ว่า เราได้เดินมาร่วมกัน กว่าจะเจอของจริง กว่าจะเดินถึง  มันไม่เหมือนว่า เราไกด์เค้ามาแล้วเราจะรู้จะเห็นทุกอย่าง เราแค่เก็บข้อมูลว่าอะไรอยู่ตรงไหน ชื่ออะไร แต่ยังไงบทสรุปคือ มันสนุกมากค่ะและยินดีมากๆที่ได้มาลีดพวกลุงๆน้าๆมาจนถึงที่นี่ได้

คือยังไม่จบตอนนะคะ ยังมีต่อ ตอน7 โม้ไปก่อน ฮ่าๆๆๆ พูดยังกะจะกล่าวปิดประชุมซะ อมยิ้ม20อมยิ้ม20




ไม่มีอะไรจะชัดเจนไปกว่านี้อีกแล้ว ฮาๆๆ


เอาล่ะ เจอแล้วประตูมังกร กว่าจะเข้าคิวไปถ่ายรูปได้ จุดๆนี้คนเยอะมาก
เนื่องจาก ที่แห่งนี้มันมีตำนานค่ะ

เมื่อก่อนที่จะสร้างประตูมังกร มันมีแม่น้ำและก็มีฝูงปลามากมายแหวกว่ายอยู่ที่นี่ ฝูงปลานี้ก็กำลังจะย้ายฐานไปที่อื่นแต่สภาพน้ำที่จะอยู่อาศัยมันไม่เวิร์คก็อยากจะว่ายทวนกลับมาที่เก่าแล้วก็ต้องผ่านประตูมังกรนี้ไป แล้วหากว่าใครกระโดดข้ามผ่านประตูนี้ไปได้จากปลาจะได้เป็นมังกร ... อูว หรือถ้าแค่ผ่านไปได้เฉยๆก็เป็นปลาตาดำๆเหมือนเดิม เรื่องนี้เปรียบเทียบถึงคนจีนที่มีความพยายามเหมือนปลาที่อยากเป็นมังกร 

จากปลา มันเหมือนอัพสกิลร้อยเท่าพันเท่าถึงจะได้เป็น มังกร แสดงถึงความตั้งใจและความเพียร จึงมีเรื่องเล่าขานกันว่า ถ้าได้มาลอดประตูมังกรนี้แตะลูกแก้วแล้วอธิฐาน แล้วจะค้าขาย ร่ำรวยได้ถึงร้อยเท่าพันเท่า (ถ้าเพียรพยายามเองนะจ๊ะ) พวกเราก็จัดกันทุกคนเลยค่ะ  

คนเสื้อสีฟ้าตรงกลาง เค้าเป็นคนจีนแบ็คแพ็คมาเที่ยวเอง  เค้าเดินตามเรามา พอเราถ่ายจุดนี้เสร็จ เค้าก็ขอให่้เราช่วยถ่ายให้ เราเลยชวนเค้ามาด้วยเลย จนถึงประตูมังกร ฮ่าๆๆ


ภาระกิจวันนี้สำเร็จแล้วเดินต่อค่ะ 


เจอจุดขายของ ไม่สนหรอกค่ะ แต่มีจุดนึงสนมากๆ แล้วไปใช้บริการซื้อเค้าด้วย ตรงนี้เลย

พี่ผู้ชายเสื้อเขียว เค้าจะวาดชื่อเราตามสั่งค่ะ ชื่อคนจีนจะเป็นขีดๆ มาผสมกันใช่ปะคะ เค้าก็วาดเป็นภาพค่ะ แล้วก็พร่ำพรรณาไปของแก นก ต้น ไม่ ภูเขา อะไรทำนองนี้ 

อชิรญาณ์ไม่พลาดแน่ๆ

ใครมองออกบ้าง 


เป็นชื่อจีนค่ะ 马微微


คุณอดุลย์ก็เอากะเค้าด้วย สองใบ สองร้อยบาทค่ะ


ลงเขากันเหอะ เหนื่อยแล้ว 

ต้องไปซื้อตั๋วรถไปสิบสองปันนาค่ะ 

แต่ มีแพลนเสริมค่ะ ไปวัดหยวนทง .... คืออะไรมันน่าไป คนคนนี้จะพาไปหมดค่ะ  

อ้อ ตอนลงเขา ลงไงรู้ไม๊คะ คือ ก็เดินมากันทั้งวันจนเหนื่อยๆมากๆ มองไปเห็นรถกอล์ฟของอุทยานจอดอยู่ ก็เข้าไปสอบถามว่าไปส่งถึงไหน เท่าไหร่ เค้าบอกว่า ขับไปส่งถึงแค่ ที่กระเช้าใหญ่แล้วหลังจากนั้นต้องนั่งรถเมล์เขียวลงเขา 15 หยวนค่ะ ..... อืมขามาป้านายหน้าบอกมา 10 แล้วไม่บอกนี่ขากลับกลับไง ตอนแรกกะเดินกันค่ะ แต่ไม่ไหวจริงๆ อุทยานของเค้าไม่เหมือนสวนหลวงร.9 บ้านเรา เอาแบบเดินจนหมดแรงเลย

สรุปนั่งรถเมล์เขียวลงเขา แล้วไปเห็นป้ายด้านล่าง 
ขึ้นเขาอุทยาน ไปขาเดียว 15 
ไปกลับ 25 อืมม เท่ากัน โอเค ให้อภัย ถ้ามันแพงกว่านี้จะไปหาป้าแล้วขอตังคืน 

จุดขึ้นรถเมล์กลับเมืองคือจุดเดียวก่ะที่มาลงค่ะรถเมล์เบอร์ 6แล้ว สังเกตจุดที่เราลงเปลี่ยนรถเป็น C65 จะที่พักเรา
แต่เราจะไปวัดหยวนทง เราเลยนั่งสุดสายของรถเมล์สายหกไป สรุปเค้าไปจอดที่สถานีจอดรถบัส 

แล้วก็ถามเจ้าหน้าที่เค้าบอกว่า นั่งเบอร์ 101 ผ่านวัดหยวนทง โอเค เยี่ยมไปเลย หยวนเดียวค่ะ

ไปนอนก่อนนะคะ พรุ่งนี้มาต่อ ไม่ไหวแล้ว คร่อกฟี้คร่อกฟี้คร่อกฟี้ ฝันดีค่า


ไปถึงวัด วัดปิดแล้วค่ะ  โอะ เค้าบอกว่าปิด 5 โมง ถ้าเธอมาซัก 10-20 ก่อนห้าโมงก็จะเปิดให้เข้าอยู่หรอก เสียดายมากค่ะ 

หลังจากนั้นก็ไปหาซื้อตั๋วรถไปจิ่งหง หรือ สิบสองปันนาค่ะ 

ตรงที่เราไปซื้อตั๋วรถ ไม่ใช่สถานีรถบัสค่ะ มันอยู่ไกลเลยซื้อผ่านเอเจนซี่ใกล้ๆสถานีรถไฟ ราคาแพงแล้วก็เค้าไปส่งส่วนตั๋วเลย เหมือนจ้างรถก่ะคนขับอีกทีแล้วให้พวกเราอัดกันเป็นปลากระป๋องค่ะ แย่ๆมากๆ นึกว่าทั้งคันจะมีแค่พวกเรา 6คน แต่มีคนจีน เพิ่มมาอีก2 คน ตอนหลังทราบว่าเค้าเป็นดร. กับแฟนเค้าเป็นคนขายเสื้อผ้าที่หูหนาน ตอนนั่งในรถก็คุยกันไปหลับไป หลับได้มั่งไม่ได้มั่ง 

อ่อ ค่าตั๋วโดนไป 240หยวน ต่อคนค่ะ

ซื้อตั๋วเสร็จ กลับที่พักเลยค่ะ แพลนตั้งแต่เช้าแล้วว่า ตอนเย็นๆจะมากินร้านอาหารหน้าปากซอยที่พัก เพราะเค้าโชว์ผัก อะไรได้น่ากินมาก
แต่พอกลับไปดึกนิดนึงแล้วประมาณ สามทุ่มได้ร้านปิดแล้วค่ะแต่ยังเหลืออีกร้านนึง 

ขวามือนั่นยำรากไม้อะไรซักอย่าง ลุงหยัดที่กินมังสวิรัติลองสั่งมากิน 

ร้านนี้อาหารรสชาติไม่ได้เรื่องเลยนะคะ  เม่าเซย์โน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 

ทานเสร็จเดินเข้าที่พัก พรุ่งนี้มีนัดไปสวนหินค่ะ